คำนำ
ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ (Ageing Society ) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา และคาดการณ์ประชากรในปีพ.ศ. 2578 จะมีประชากรสูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aged Society)
สังคมที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้จะมีผลกระทบต่อสังคมไทยโดยรวม ทั้งต่อตัวผู้สูงอายุ คนในครอบครัว
จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้มีนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเตรียมการสำหรับรองรับสังคมสูงวัย ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย
โดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมีมติให้การดำเนินงานธนาคารเวลา เป็น 1 ใน 10 ประเด็นเร่งด่วนด้านผู้สูงอายุระหว่างปี 2561 – 2564 โดยคาดหวังให้ธนาคารเวลาเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ และรองรับสังคมสูงวัย
ซึ่งแนวคิดธนาคารเวลานี้ ได้ประยุกต์ใช้จากแนวคิดธนาคารเวลาที่มีการดำเนินการในต่างประเทศ ที่ต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเป็นสังคมสูงวัย
แนวคิดนี้ได้แพร่หลายไปในหลายประเทศทั่วโลก จากแนวคิดหลักของ “ธนาคารเวลา” ที่ยึดหลักการที่เวลาของทุกคนมีค่าเท่ากัน นำไปสู่ “การรู้จักคุณค่าของตนเอง” ทุกคนมีทักษะ ความสามารถ การสร้างสัมพันธภาพที่ดี การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คนในพื้นที่เดียวกัน และก่อเกิดกลไกเชิงระบบของการดำเนินงาน “ธนาคารเวลา”
จากข้อมูลข้างต้น แม้ว่าแนวคิดธนาคารเวลานี้ จะเป็นแนวคิดใหม่ที่นำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย และมีความท้าทายในการสร้างความเข้าใจและนำมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ต่างๆ
จึงเป็นโจทย์สำคัญ ที่ สสส. และภาคีเครือข่าย ร่วมกันศึกษา ค้นหาแนวทางประยุกต์ใช้แนวคิดธนาคารเวลาเพื่อเป็นเครื่องมือ นวัตกรรมทางเลือกในการรองรับสังคมสูงวัย รวมถึงพัฒนาเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างเสริมสุขภาวะในบริบทที่เหมาะสม
ช่วงที่ผ่านมา สสส. สนับสนุนการดำเนินงานธนาคารเวลาที่เกิดขึ้นในกว่า 80 พื้นที่ที่ใช้ธนาคารเวลาสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน เครือข่าย
นำมาซึ่งการสร้างความร่วมมือ ร่วมใจระหว่างคนหลากหลายวัยในการช่วยเหลือดูแลกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เยาวชน ที่สามารถเข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนธนาคารเวลานี้เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแลกันเองของคนในชุมชน และเครือข่ายตัวเองได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
สสส. คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลถัดจากนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจที่สามารถเรียนรู้บทเรียนการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของเครือข่ายต่างๆ
ทั้งบทเรียนการทำงาน การยกระดับและพัฒนาการดำเนินงานธนาคารเวลารองรับสังคมสูงวัยของเครือข่ายต่างๆ ที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของเครือข่ายพื้นที่
รวมถึงร่วมผลักดันให้ธนาคารเวลา เป็นหนึ่งในเสียงของนวัตกรรมสังคม ที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนเป็นนโยบายรองรับสังคมสูงวัยและสร้างเสริมสุขภาพในมิติที่เกี่ยวข้องได้
ภรณี ภู่ประเสริฐ
ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ
รู้จัก - เข้าใจ ธนาคารเวลา
ธนาคารเวลา เป็น แนวคิดการบริหารพื้นที่กลางการแลกเปลี่ยนบริการระหว่างสมาชิก โดยใช้ทักษะ และประสบการณ์ ของสมาชิกในกลุ่ม
“เวลา” ที่สมาชิกแต่ละคนใช้ทักษะ ประสบการณ์บริการให้แก่สมาชิกคนอื่น ๆ สามารถเก็บสะสมไว้ ในรูปแบบ “เครดิตเวลา” โดยมีการบันทึกไว้ในระบบข้อมูลกลาง ลักษณะเดียวกับการออมเงินในบัญชีธนาคาร
และเมื่อเจ้าของบัญชีต้องการรับบริการ ก็สามารถ “แจ้งขอรับบริการ”
และนำเครดิตเวลาที่ออมไว้ ตอบแทนที่สมาชิกอื่นจะมาบริการให้กับตนเอง ตามข้อกำหนดของธนาคารเวลาแต่ละแห่ง
ธนาคารเวลาบางแห่งยังเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถถ่ายโอนเครดิตเวลาที่ออมไว้ให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือชุมชน
ทำให้ “เวลา” มีสถานะที่ใกล้เคียงกับสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน อย่างสกุลเงิน
แสดงขั้นตอนการแลกเปลี่ยนบริการ (Service Exchange)ในธนาคารเวลา
ติดต่อเจ้าหน้าที่
ยืนยันรับบริการ
นัดหมายผู้ให้บริการ
รับบริการ
ยืนยันเจ้าหน้าที่ให้โอนเครดิต
รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่
ยืนยันให้บริการ
นัดหมายผู้รับบริการ
ให้บริการ
ยืนยันเจ้าหน้าที่เพื่อรับเครดิต
รับการติดต่อจากผู้ขอรับบริการ
ค้นหาข้อมูลทักษะจากใบสมัคร
ประสานติดต่อสมาชิกทั้งสองฝ่าย
รับรองเครดิตจากสมาชิกทั้งสองผ่าย
บันทึกจัดเก็บเครดิต
ธนาคารเวลา จึงเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนและสังคมตระหนักถึง เวลา ที่ใช้ทักษะให้บริการแก่สมาชิกที่ต้องการ ว่ามีคุณค่าและความสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การสร้างการมีส่วนร่วม และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน
รวมไปถึงการดูแลกลุ่มคนในชุมชนที่มีความต้องการเป็นพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยหลังออกจากโรงพยาบาล เป็นต้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของธนาคารเวลาแต่ละแห่ง
และที่สำคัญ การแลกเปลี่ยนในธนาคารเวลา อยู่บนความคิดพื้นฐานที่ว่า ทั้งผู้ให้และผู้รับต่างก็มี “ความเท่าเทียมกัน”
เพราะสื่อกลางที่เป็น “เครดิตเวลา” ของทุกคนมีค่าเท่ากัน(1 ชม. = 1 เครดิตเวลา) อันจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มี “ความเคารพซึ่งกันและกัน”
ค่านิยมหลัก 5 ประการ (แนวคิดหลักของธนาคารเวลา)
“ค่านิยมหลัก 5 ประการ” จากหนังสือชื่อ “ไม่มีผู้ที่ถูกทิ้งอีกต่อไป” (No More Throw-Away People) เขียนโดย เอ็ดการ์ คาห์น (Edgar Cahn) ผู้ก่อตั้งธนาคารเวลาแบบร่วมสมัย
ค่านิยมหลัก 5 ประการ เป็นหลักการสำคัญ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าจะทำให้การพัฒนาธนาคารเวลาประสบความสำเร็จได้มากที่สุด ประกอบด้วย
ให้คุณค่ากับทักษะ (ความสามารถ) ในทุกระดับ
ให้คุณค่ากับทุกการกระทำ แม้จะเล็กน้อย ว่าเป็น “งาน (บริการ)”
เปลี่ยนการรับหรือให้ฝ่ายเดียว เป็นแลกเปลี่ยนตอบแทน
ไว้วางใจ(trust) และ ร่วมมือกัน
ให้เกียรติ + เคารพ ยอมรับคุณค่าของทุกการมีส่วนร่วม
ค่านิยมที่
อ้างอิง จาก คู่มือธนาคารเวลา โดย สสส.
เชิงปฏิบัติการ
1.
ทุกคนมีคุณค่า: ทุกคนมีประสบการณ์ที่มีคุณค่า สามารถแบ่งให้ผู้อื่นได้
ให้คุณค่ากับทักษะ (ความสามารถ) ในทุกระดับ โดยคิดเป็นหน่วยเวลา 1 ชม. ที่ใช้ทักษะ เท่ากับ 1 เครดิต
2.
งานแลกเวลา: ความหมายใหม่ของคำว่า “งาน” จากเดิมที่นิยามกันว่าคือสิ่งที่ทำเพื่อแลกกับ “เงิน” มาใช้ “เวลา” เป็นสื่อกลาง ทำให้งานบางอย่างที่เคยถูกมองข้าม ถูกเห็นคุณค่าเพิ่มขึ้น เช่น งานบ้าน การดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นต้น
ให้คุณค่ากับทุกการกระทำ แม้จะเล็กน้อย ว่าเป็น “งาน (บริการ)” โดยคิดเป็นหน่วยเวลา 1 ชม. การทำงานเท่ากับ 1 เครดิต
3.
ช่วยเหลือด้วยความเท่าเทียม: การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ความช่วยเหลือในธนาคารเวลาแตกต่างจากความช่วยเหลือส่วนใหญ่ ที่ผู้ให้ความช่วยเหลือมักพูดว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม” โดยธนาคารเวลา ผู้ให้ความช่วยเหลือจะถามว่า “คุณอยากจะช่วยเหลือคนอื่นด้วยหรือไม่” สิ่งที่แฝงในคำถามที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ คือการส่งต่อคุณค่า “จิตอาสา” สู่ผู้รับความช่วยเหลือคนอื่น ๆ ต่อไป
เปลี่ยนการรับหรือให้ฝ่ายเดียว เป็นแลกเปลี่ยนตอบแทนกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบเท่าเทียม
4.
ช่วยเกื้อกูล สังคมเข้มแข็ง: เครือข่ายสังคม การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้ได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกัน และนำไปสู่การสร้างเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็งได้
ส่งเสริมการสร้างทุนทางสังคม (ความไว้วางใจ + เครือข่าย + ความร่วมมือกัน) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชุมชนเข้มแข็ง
5.
เคารพอย่างเท่าเทียม: การเคารพซึ่งกันและกัน ธนาคารเวลาอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกจึงเป็นการเคารพซึ่งกันและกัน
ส่งเสริมการให้เกียรติ + เคารพซึ่งกันและกัน โดยการยอมรับคุณค่าของทุกการมีส่วนร่วม
- Note
หนังสือ “No More Throw-Away People: The Co-Production Imperative” โดย Edgar Cahn เป็นหนังสือที่มีผลงานอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแนวคิดของการสร้างมูลค่าทางสังคมผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “co-production”
แนวคิดหลักของหนังสือนี้คือการท้าทายระบบเศรษฐกิจที่มองข้ามคุณค่าของบริการที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยเงิน เช่น การดูแลลูกหลาน, การสอนหนังสือ, หรือการดูแลผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือพิเศษ
โดยเสนอว่าสิ่งเหล่านี้ควรถูกมองเห็นและมีมูลค่าในสังคมอย่างเท่าเทียมกับงานที่ได้รับค่าจ้าง
Cahn กล่าวว่า โดยการรับรู้คุณค่าของ “งานที่ไม่ได้ค่าตอบแทน” และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนบริการเหล่านี้ผ่านธนาคารเวลา เราสามารถสร้างสังคมที่ไม่มีใครถูกทอดทิ้ง หรือ “ไม่มีคนเป็นส่วนเกิน” อีกต่อไป
ธนาคารเวลาเป็นระบบที่ผู้คนใช้เวลาของตัวเองเป็นหน่วยวัดในการแลกเปลี่ยนบริการ เช่น หนึ่งชั่วโมงของการสอนภาษาสามารถแลกเปลี่ยนได้กับหนึ่งชั่วโมงของการซ่อมแซมบ้าน
หนังสือนี้ยังหยิบยกเรื่องราวของบุคคลและชุมชนที่ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้ในชีวิตจริง แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
“No More Throw-Away People” ไม่เพียงแต่เป็นการเรียกร้องให้มีการยอมรับคุณค่าของงานที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนทั้งหมด แต่ยังเสนอแนวทางการสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยที่ทุกคนมีบทบาทสำคัญและไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แนวคิด : เพื่อนบ้านช่วยเพื่อนบ้าน
เป็นการนำค่านิยมหลักทั้ง 5 มาเป็นหลักปฏิบัติในการแลกเปลี่ยนในธนาคารเวลา (ดังแสดงในตาราง)
ให้คุณค่ากับทักษะ (ความสามารถ) ในทุกระดับ
•
ไม่ว่าจะเก่ง หรือ แค่พอทำได้ก็จะได้รับการให้คุณค่าผ่านการตอบแทนด้วยเครดิต
ให้คุณค่ากับทุกการกระทำ แม้จะเล็กน้อย ว่าเป็น “งาน (บริการ)”
•
ไม่ว่าจะงานใหญ่โต หรือ เล็กน้อยแค่ไหนก็จะได้รับการให้คุณค่าผ่านการตอบแทนด้วยเครดิต
เปลี่ยนการรับหรือให้ฝ่ายเดียว เป็นแลกเปลี่ยนตอบแทน
•
เป็นทั้งผู้ให้ และ ผู้รับ
ไว้วางใจ(trust) และ ร่วมมือกัน
•
ไว้วางใจ ร่วมมือกัน ในกลุ่มสมาชิก เพื่อเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง
ให้เกียรติ + เคารพ ยอมรับคุณค่าของทุกการมีส่วนร่วม
•
กลุ่มสมาชิกจะเคารพและให้เกียรติกันเสมอ
ลำดับที่
ค่านิยมหลัก
แนวคิดเพื่อนบ้านช่วยเพื่อนบ้าน
1.
ให้คุณค่ากับทักษะ (ความสามารถ) ในทุกระดับ โดยคิดเป็นหน่วยเวลา 1 ชม. ที่ใช้ทักษะ เท่ากับ 1 เครดิต
ไม่ว่าจะเก่ง หรือ แค่พอทำได้ก็จะได้รับการให้คุณค่าผ่านการตอบแทนด้วยเครดิต
2.
ให้คุณค่ากับทุกการกระทำ แม้จะเล็กน้อย ว่าเป็น “งาน (บริการ)” โดยคิดเป็นหน่วยเวลา 1 ชม. การทำงานเท่ากับ 1 เครดิต
ไม่ว่าจะงานใหญ่โต หรือ เล็กน้อยแค่ไหนก็จะได้รับการให้คุณค่าผ่านการตอบแทนด้วยเครดิต
3.
เปลี่ยนการรับหรือให้ฝ่ายเดียว เป็นแลกเปลี่ยนตอบแทนกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบเท่าเทียม
เป็นทั้งผู้ให้ และ ผู้รับ
4.
ส่งเสริมการสร้างทุนทางสังคม (ความไว้วางใจ + เครือข่าย + ความร่วมมือกัน) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชุมชนเข้มแข็ง
ไว้วางใจ ร่วมมือกัน ในกลุ่มสมาชิก เพื่อเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง
5.
ส่งเสริมการให้เกียรติ + เคารพซึ่งกันและกัน โดยการยอมรับคุณค่าของทุกการมีส่วนร่วม
กลุ่มสมาชิกจะเคารพและให้เกียรติกันเสมอ
จากตารางจะพบว่า การให้และรับบริการแบบเพื่อนบ้านช่วยเพื่อนบ้านในธนาคารเวลา สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเก่งหรือพอทำได้ จะให้บริการในงานเล็กหรือใหญ่ ก็จะได้รับคุณค่าเท่ากันผ่านการตอบแทนด้วยเครดิตเวลา ในขณะที่สมาชิกจะเป็นทั้งผู้ให้บริการและรับบริการที่ไว้วางใจ ร่วมมือ เคารพและให้เกียรติกันเสมอในกลุ่มสมาชิก
สมาชิกส่วนใหญ่ของธนาคารเวลา ใช้รูปแบบ “เพื่อนบ้านช่วยเพื่อนบ้าน” โดยสมาชิกสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้บริการใด หรือรับบริการใดจากสมาชิกคนอื่น ๆ ทั้งนี้ สมาชิกของธนาคารเวลา มีทั้งที่เป็นบุคคล และที่เป็นกลุ่ม
การแลกเปลี่ยนในธนาคารเวลา แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
- การแลกเปลี่ยนแบบ 1 : 1 หมายถึง การให้จากสมาชิกคนหนึ่งไป สู่อีกคนหนึ่ง
- การแลกเปลี่ยนแบบ 1 : กลุ่ม หมายถึง การให้จากสมาชิกคนหนึ่ง สู่กลุ่มสมาชิก
- การแลกเปลี่ยนแบบ กลุ่ม : 1 หมายถึง การให้จากสมาชิกกลุ่มหนึ่ง สู่สมาชิก 1 คน
- การแลกเปลี่ยนแบบ กลุ่ม : กลุ่ม หมายถึง การให้จากกลุ่มสมาชิก สู่กลุ่มสมาชิก
เปรียบเทียบจุดเด่น
ในสังคมไทยปัจจุบันมีกแนวคิดที่ส่งเสริมการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนทรัพยากรในรูปแบบที่นอกเหนือจากระบบเงินตรา
1 ในแนวคิดนั้นคือ “ธนาคารเวลา” ที่เป็นระบบการแลกเปลี่ยนงานบริการและทักษะระหว่างสมาชิกโดยใช้เวลาเป็นหน่วยสื่อกลาง
อาจมองว่าธนาคารเวลามีความคล้ายคลึงกับ “จิตอาสา” “ธนาคารความดี” หรือ “บาร์เตอร์”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะพบว่าธนาคารเวลามีรายละเอียดและเป้าหมายที่โดดเด่นและแตกต่างออกไปอย่างน่าสนใจ
ข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยแสดงให้เห็นจุดเด่นและความแตกต่างที่สำคัญของแต่ละแนวคิด เพื่อเข้าใจภาพรวมของระบบธนาคารเวลานี้มากยิ่งขึ้น
เป็นระบบการแลกเปลี่ยนงานบริการและทักษะระหว่างสมาชิก โดยใช้หน่วยเวลาเป็นสกุลเงิน
•
สนับสนุนการพึ่งพาซึ่งกันและกันในชุมชน สร้างความสัมพันธ์แบบเป็นหุ้นส่วนมากกว่าการให้ทางเดียว
•
ส่งเสริมให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมและได้รับการเคารพในศักยภาพของตนเอง
เป็นการบริการโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มุ่งเน้นการให้เพื่อส่วนรวม
•
มักเป็นกิจกรรมชั่วคราวหรือตามโอกาส ไม่ใช่ระบบทำงานแบบต่อเนื่อง
•
ไม่มีหลักการแลกเปลี่ยนแบบธนาคารเวลา
เป็นระบบจดบันทึกการทำความดีของบุคคล เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ทำความดี
•
แลกเปลี่ยนทรัพยากรมักเป็นสิ่งของ
•
เป็นแนวคิดเชิงจิตวิญญาณ มากกว่าระบบการแลกเปลี่ยนเชิงปฏิบัติ
ไม่มีหน่วยสื่อกลางที่เป็นมาตรฐาน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า/บริการกับสินค้า/บริการโดยตรง
•
มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนสินค้า/บริการ เป็นการตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้า
•
มักเป็นการแลกเปลี่ยนแบบครั้งคราว เฉพาะกิจ เมื่อมีความต้องการ ขาดความต่อเนื่องและการบริหารจัดการระยะยาว
ธนาคารเวลา ทำอะไรบ้าง?
ธนาคารเวลา มีการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเวลาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยภารกิจสำคัญที่ธนาคารเวลาแต่ละแห่งจะต้องดำเนินการ เช่น
- การรับสมัครสมาชิก
- การจัดการข้อมูล ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการให้บริการของสมาชิก สิ่งที่ต้องการรับบริการจากสมาชิกอื่น ข้อมูลการแลกเปลี่ยนบริการ การตรวจสอบจำนวนเครดิตเวลา รวมทั้งข้อมูลที่จำเป็นอื่น ๆ
- การจัด และติดตามกิจกรรม
- ดูแลช่วยเหลือสมาชิกเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
- จัดทำรายงานสำหรับผู้บริหารธนาคารเวลา
- การสื่อสาร ทั้งในกลุ่มสมาชิก และสื่อสารสาธารณะ
ทั้งนี้ มีการจัดทำโปรแกรมซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานสำหรับธนาคารเวลาเป็นจำนวนมาก เช่น Time Republik, Hour World’s Time and Talents, Community Forge ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารเวลามีการจัดการข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ธนาคารเวลา เป็นของใคร?
จากการสำรวจข้อมูลธนาคารเวลาในประเทศต่าง ๆ พบว่า ยุคแรก ๆ เกิดจากการจัดตั้งโดยภาคประชาชน และในยุคต่อมา หลายประเทศมีการประสานความร่วมมือกันของภาคส่วนต่าง ๆ มากขึ้น โดยทั่วไป การผลักดันงานธนาคารเวลาเกิดขึ้นใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่
- รูปแบบที่ 1 ขับเคลื่อน/ผลักดันจากภาคประชาชน พบในยุคแรก ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น และพบรูปแบบนี้ในปัจจุบัน เช่น ประเทศอิสราเอล ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ เป็นต้น
- รูปแบบที่ 2 ขับเคลื่อน/ผลักดันโดยองค์กรพัฒนาของเอกชน (NGOs – Non-Governmental Organization) และองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร (NPOs – Non-Profit Organizations) เช่น ประเทศแคนาดา ชิลี กัวเตมาลา สหราชอาณาจักร สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส เดนมาร์ก เกาหลีใต้ อินเดีย เซเนกัล โดยประเทศที่มี NGOs และ NPOs เป็นแกนหลักประสานความร่วมมือกับรัฐบาล ได้แก่ สหราชอาณาจักร สเปน อิตาลี และโปรตุเกส จนเกิดเป็นนโยบายของรัฐบาลร่วมผลักดันการดำเนินงานธนาคารเวลา และขยายการดำเนินงานไปทั่วประเทศ
- รูปแบบที่ 3 ขับเคลื่อน/ผลักดันโดยภาครัฐ อาทิ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ให้ความสำคัญกับการมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น ในขณะที่วัยแรงงานมีจำนวนลดลง รัฐจึงให้ความสำคัญในการดำเนินงานธนาคารเวลา ส่วนประเทศออสเตรเลียกำหนดให้งานธนาคารเวลาเป็นนโยบายของรัฐ เนื่องจากต้องการให้ประชาชนมีจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น
ธนาคารเวลา มีกฎหมายรองรับ หรือเปล่า?
ธนาคารเวลาในบางประเทศ มีกลไกด้านกฎหมายรองรับ ซึ่งอาจเป็นการรับรองสถานะ เพื่อให้เกิดการดำเนินงานในรูปแบบขององค์กรอาสาสมัคร หรือองค์กรไม่แสวงกำไร โดยไม่ใช้เงินในการแลกเปลี่ยนกิจกรรมการช่วยเหลือ
ในบางประเทศ กฎหมายระบุถึงการยกเว้นภาษีให้กับธนาคารเวลา เช่น ในสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ขณะที่ในประเทศนิวซีแลนด์ แม้จะมีกฎหมายรองรับ แต่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี เนื่องจากกิจกรรมมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพตามความเชี่ยวชาญในอาชีพ และได้รับเครดิตเวลาแทนเงิน ซึ่งรัฐบาลจัดว่าเป็นรายได้
ใช้ “เวลา” แลกกับอะไรได้บ้าง?
ขึ้นอยู่กับการกำหนดของธนาคารเวลาแต่ละแห่ง นอกจาก “เวลา” ที่ใช้เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน “บริการ” ซึ่งเป็นการทำประโยชน์ซึ่งกันและกันแล้ว ธนาคารเวลาบางแห่งใช้เวลาแลกเปลี่ยน “สิ่งของ” ด้วยเช่นกัน (สำหรับบางพื้นที่จะให้ความเห็นกรณีใช้เครดิตเวลาแลกกับสิ่งของว่า อาจเป็นการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกับธนาคารความดี)
อย่างไรก็ตาม ในการจัดตั้งธนาคารเวลาส่วนใหญ่ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการนำเวลามาเป็นสื่อกลางทดแทนเงิน เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ แต่มักจะมีวัตถุประสงค์แท้จริงใน 4 ประเด็นหลัก
คือ- ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
- เสริมสร้างความเท่าเทียมทางสังคม
- พัฒนาคุณภาพชีวิต ดูแลสุขภาพ
- ส่งเสริมจิตอาสา
ใครใช้บริการธนาคารเวลาได้บ้าง?
ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคารเวลาแต่ละแห่ง โดยทั่วไป สมาชิกธนาคารเวลาจะเป็นรายบุคคล แต่ธนาคารเวลาหลายแห่งรับสมัครสมาชิกที่เป็นครอบครัว กลุ่ม หรือหน่วยงานด้วย
ทั้งนี้ แนวคิดสำคัญ คือ สมาชิกของธนาคารเวลา ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ครอบครัว หรือหน่วยงาน ควรมีความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ ที่หลากหลายแตกต่างกันไป ซึ่งจะทำให้การแลกเปลี่ยนบริการและความช่วยเหลือระหว่างกันเกิดขึ้นได้
สังคมไทยมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่แล้ว ทำไมต้องมีธนาคารเวลา?
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ระบุว่า น้ำใจ แปลว่า ห่วงใย เอาใจใส่
สังคมไทยมีการช่วยเหลือเกื้อกูล ห่วงใย เอาใจใส่ซึ่งกันและกันผ่านการแสดงออกด้วยการกระทำต่างๆ
ซึ่งในค่านิยมหลักลำดับที่ 2 ได้ระบุถึงการให้คุณค่ากับทุกการกระทำ แม้จะเล็กน้อย เป็นการหมายรวมถึงการแสดงน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วย
จึงกล่าวได้ว่าธนาคารเวลา ทำให้น้ำใจได้รับการเห็นคุณค่าเพิ่มมากขึ้น
ประเทศไทยเป็นประเทศจิตอาสา
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนและองค์กรที่มีจิตอาสาเป็นจำนวนมาก โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหลายหน่วยงาน จัดทำบัญชีองค์กรไม่แสวงผลกำไรในประเทศไทย ได้ระบุถึงการทำงานขององค์กรไม่แสวงหากำไรและอาสาสมัครในประเทศไทยในปี 2551 มีมูลค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 1.6 ของ GDP (160,000 ล้านบาท) และจากผลการสำรวจและจัดอันดับ 153 ประเทศทั่วโลก ในปี 2554 พบว่า ประเทศไทยจัดเป็นประเทศอันดับที่ 9 ที่มีกิจกรรมการกุศล ถือเป็นอันดับ 1 ในเรื่องการบริจาคเงิน
3 ประสาน สร้าง “ธนาคารเวลา” ในประเทศไทย
การดำเนินงานธนาคารเวลาในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้นจาก 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนพื้นที่นำร่อง 44 แห่ง
โดย 3 หน่วยงานหลัก มีบทบาทหน้าที่สำคัญ ดังนี้
1) กรมกิจการผู้สูงอายุ
- ศึกษาแนวคิด ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติของการดำเนินงานธนาคารเวลา และนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบทและวัฒนธรรมไทย
- จัดทำคู่มือแนวทางการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ
- จัดทำระบบข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการธนาคารเวลา
- สนับสนุนการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่นำร่อง
- นิเทศ ติดตาม และถอดบทเรียนการดำเนินงานธนาคารเวลาในพื้นที่นำร่อง
2) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- คัดเลือกพื้นที่นำร่อง โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน
- ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่นำร่อง
- ร่วมกับกรมกิจการผู้สูงอายุถอดบทเรียนการดำเนินงานธนาคารเวลาในพื้นที่นำร่อง
3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 44 พื้นที่นำร่อง
- ออกแบบและจัดตั้งธนาคารเวลาแบบมีส่วนร่วม และมีการบูรณาการกับการดำเนินงานของอาสาสมัครและจิตอาสาที่ดำเนินการอยู่แล้ว
- ดำเนินการใช้ธนาคารเวลาในกระบวนการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ และมีการจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปบทเรียน
- ร่วมเรียนรู้กับพื้นที่นำร่องผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น การศึกษาดูงาน การแลกเปลี่ยนผ่านสื่อออนไลน์ การนำเสนอในโอกาสต่าง ๆ เป็นต้น
ใช้ธนาคารเวลาแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
- การช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ทางการเงินที่ยากลำบาก: ผู้คนที่อาจไม่มีเงินเพียงพอสามารถใช้ทักษะหรือเวลาของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนบริการที่ต้องการได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงิน
- สร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นในชุมชน: ระบบนี้ช่วยเพิ่มความรู้สึกของการมีส่วนร่วมและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและการมีส่วนร่วมของชุมชนมากขึ้น
- สนับสนุนการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน: โดยการให้ค่ากับการใช้บริการในท้องถิ่นและการใช้ทรัพยากรในชุมชน เช่น การแลกเปลี่ยนบริการทำสวน การซ่อมแซม หรือการดูแลเด็ก ช่วยลดการขนส่งและการบริโภคที่ไม่จำเป็น
- พัฒนาทักษะและประสบการณ์: ผู้คนสามารถใช้ธนาคารเวลาเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของตนเองกับผู้อื่น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มทักษะของตนเอง แต่ยังช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์จากความรู้นั้นๆ ด้วย
- เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการ: บางคนอาจไม่สามารถจ่ายเงินสำหรับบริการบางอย่างได้ แต่ด้วยธนาคารเวลา พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนบริการที่ต้องการได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
- ลดความเหลื่อมล้ำ: ทุกคนมีโอกาสใช้บริการต่างๆ ไม่ว่าจะมีฐานะทางการเงินหรือสถานะทางสังคมอย่างไร ทุกคนมี ‘เวลา’ ที่เท่ากันในการแลกเปลี่ยน ซึ่งช่วยลดช่องว่างทางสังคมและเศรษฐกิจ
- ส่งเสริมสุขภาพจิตและอารมณ์: การมีส่วนร่วมในชุมชนและการรู้สึกมีค่ามีประโยชน์สามารถเพิ่มระดับความพึงพอใจในชีวิตและลดอาการของความเครียด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตโดยรวม
- การดูแลสุขภาพและการดูแลเด็ก: ระบบธนาคารเวลาสามารถให้บริการดูแลเด็กและผู้สูงอายุได้ในชุมชน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
- การศึกษาและการพัฒนาเด็ก: ผ่านการแลกเปลี่ยนทักษะและความรู้ ธนาคารเวลาสามารถช่วยให้เด็กๆ ได้รับการเรียนรู้และพัฒนาในด้านต่างๆ นอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาได้รับในระบบการศึกษาทั่วไป
- ส่งเสริมความหลากหลายและการรวมตัว: โดยการทำให้ผู้คนจากภูมิหลังที่แตกต่างกันมาทำงานร่วมกันและแลกเปลี่ยนบริการ ธนาคารเวลาสามารถช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพระหว่างวัฒนธรรมและชุมชนต่างๆ
- การเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ: ธนาคารเวลาช่วยเปิดโอกาสให้กับผู้ที่อาจไม่สามารถเข้าถึงตลาดแรงงานด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น อายุ ข้อจำกัดด้านสุขภาพ หรือสถานการณ์ทางสังคม เพื่อให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมและมีความสำคัญในเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการแลกเปลี่ยนทักษะและเวลา
- การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร: ในชุมชนที่มีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรทางการเกษตรผ่านธนาคารเวลา เช่น การทำสวนชุมชนหรือการแลกเปลี่ยนผลผลิต สามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและยั่งยืน ลดความพึ่งพาอาหารนำเข้าและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในท้องถิ่น
- การฟื้นฟูและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: การใช้ธนาคารเวลาในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การทำความสะอาดชายหาด การปลูกป่า หรือการดูแลพื้นที่สาธารณะ สามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
- การบรรเทาความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยี: ในยุคดิจิทัล การเข้าถึงเทคโนโลยีและการศึกษาด้านไอทีเป็นสิ่งสำคัญ ธนาคารเวลาสามารถช่วยให้ผู้คนที่อาจไม่มีทรัพยากรเพียงพอได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์
- การสร้างความรับผิดชอบและความเป็นเจ้าของร่วมในชุมชน: การมีส่วนร่วมในธนาคารเวลาช่วยเพิ่มความรู้สึกของการเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบต่อชุมชนของตนเอง ส่งผลให้มีการดูแลรักษาและพัฒนาชุมชนให้ดียิ่งขึ้น
- การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต: ผ่านการแลกเปลี่ยนทักษะและความรู้ ธนาคารเวลาสนับสนุนให้ผู้คนเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใด ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาส่วนบุคคล
ธนาคารเวลา ต้องใช้ทุนไหม ได้ทุนจากไหน?
ธนาคารเวลา ต้องมีทุนในการก่อตั้ง และการดำเนินงาน หลายแห่งมีแหล่งทุนจากสมาชิกและผู้สนับสนุน อาจเป็นบุคคล หรือหน่วยงานรัฐ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองทุน
ทุนในการจัดตั้งและดำเนินการธนาคารเวลา อาจได้มาโดยหลายรูปแบบ เช่น รายรับจากค่าสมาชิกแรกเข้า เงินบริจาค การสมทบทุนจากผู้นำองค์กร การระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ
“ทุน” ยังไม่ได้หมายถึง “เงินทุน” เพียงอย่างเดียว แต่อาจใช้กลไกการบริหารจัดการด้วย 4Ms ได้แก่
Man – คน Money – เงิน Material – ของ หรือวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ Management – การบริหารจัดการ สรุปได้ว่า ธนาคารเวลาจำเป็นต้องมีทุนซึ่งอาจมาจากแหล่งต่าง ๆ และไม่ได้มีเพียงเงินทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วยธนาคารเวลา เล็ก - ใหญ่ แค่ไหน?
ธนาคารเวลาอาจมีจำนวนสมาชิกเพียง 20 คน หรือเพิ่มขึ้นจนถึงหลักพันคนก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานในระดับท้องถิ่น
ธนาคารเวลาต้องมีที่ตั้ง หรือที่ทำการไหม?
ธนาคารเวลาทุกแห่ง มีที่ตั้ง หรือที่ทำการ ที่ชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้ อีกทั้งสมาชิกและผู้ที่สนใจสามารถติดต่อประสานงานได้โดยสะดวก ถึงแม้บางแห่งอาจมีระบบสนับสนุน เพื่อช่วยให้สมาชิกไม่ต้องเดินทางไปใช้บริการที่ธนาคารเวลาด้วยตัวเอง เช่น การสมัครสมาชิกผ่านออนไลน์ (อาจใช้ Google form) หรือการมีผู้ประสานงานช่วยติดต่อแทนให้
นอกจากนี้ พบว่าธนาคารเวลาหลายแห่ง ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการดำเนินงานภายในกลุ่ม องค์กร หรือหน่วยงานที่มีอยู่ก่อนหน้า เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น ก็จะใช้ที่ทำการของกลุ่ม องค์กร หรือหน่วยงานดังกล่าวเป็นที่ดำเนินงานธนาคารเวลา