ลำดับเหตุการณ์สำคัญในการก่อเกิดธนาคารเวลาของประเทศต่างๆ
สะสมบัตรแรงงานจากการทำงานจริงเป็นชั่วโมง และนำไปแลกสินค้า ซึ่งมูลค่าสินค้าอ้างอิงจากจำนวนชั่วโมงที่ผลิตสินค้า ในสหรัฐอเมริกา
อาสาสมัครในประเทศญี่ปุ่น
เอ็ดการ์ คาห์นหัวใจวาย และเริ่มพัฒนาแนวคิดธนาคารเวลา
กำเนิดแนวคิดการแลกเปลี่ยนในชุมชน Local Exchange Trading System ที่แคนาดา
สหรัฐอเมริกา นําร่องธนาคารเวลา ใน Nursing homes 6 แห่ง
มีการใช้รูปแบบธนาคารเวลาเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ในเมืองปาร์มา อิตาลี
ก่อตั้งธนาคารเวลาอย่างเป็นทางการในอิตาลี “Banca del Tempo”
ก่อตั้ง TimebanksUSA เอ็ดการ์ คาห์น ดํารงตําแหน่ง CEO
ก่อตั้งธนาคารเวลา ของสเปน “Banco de Tiempo”
ก่อตั้งธนาคารเวลาในสหราชอาณาจักร ภายใต้ชื่อ “Fair Share”
ก่อตั้งธนาคารเวลา “วงแหวนแห่งรัก”
ที่เกาหลีใต้
ก่อตั้งธนาคารเวลาในอิสราเอล ที่นครเยรูซาเลม
กำเนินธนาคารเวลาแคนาดา ที่รัฐควิเบค “L'Accorderie”
ก่อเกิด ธนาคารเวลาประเทศโปรตุเกส
“Banco de Tempo”
เดนมาร์คเคลื่อนไหวจัดตั้งธนาคารเวลา
ก่อตั้งธนาคารเวลาประเทศนิวซีแลนด์
เซเนกัล ดําเนินงานธนาคารเวลา ในศูนย์พัฒนา ส่งเสริมความรู้แก่
เด็กและสตรี
ก่อตั้งธนาคารเวลา ในประเทศชิลี
ก่อตั้งธนาคารเวลาในสวิตเซอร์แลนด์ “Zeitvorsorge St. Gallen”
ก่อตั้งธนาคารเวลา ในประเทศออสเตรเลีย
ก่อตั้งธนาคารเวลาในกรุงปารีส ฝรั่งเศส “L'Accorderie”
ก่อตั้งธนาคารเวลาในประเทศกัวเตมาลา
ก่อตั้งธนาคารเวลาในไอร์แลนด์ hOUR Timebank
คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 กำหนดให้ธนาคารเวลา เป็น 1 ใน 10 ประเด็นเร่งด่วนด้านผู้สูงอายุ ปี 2561 – 2564
ก่อตั้งธนาคารเวลาในอินเดีย “Time Seva Bank”
แหล่งที่มา: รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการการศึกษาการพัฒนารูปแบบและกลไกการดําเนินงานธนาคารเวลารองรับสังคมสูงวัยในเขตเมือง ผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลธิดา จันทร์เจริญ มูลนิธิวิจัยเพื่อพัฒนามนุษย์และชุมชน (มวมช.) สนับสนุนการดําเนินงานโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีนาคม 2564
หลายประเทศทั่วโลกมีการจัดตั้งธนาคารเวลาขึ้นในรูปแบบและการดำเนินงานที่แตกต่างกัน แม้จะยังมีข้อถกเถียงว่าแท้จริงแล้ว ธนาคารเวลามีต้นกำเนิดจากที่ใดกันแน่ สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น กระนั้น ธนาคารเวลาทุกแห่งต่างมุ่งเน้นให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน บนพื้นฐานของความเท่าเทียมทางสังคม รวมทั้งการดูแลกลุ่มเปราะบาง อย่างผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือคนยากคนจน
โดยมีตัวอย่างธนาคารเวลาที่น่าสนใจ ดังนี้
สหรัฐอเมริกา: องค์กรส่งเสริมการจัดตั้งธนาคารเวลา
สหรัฐอเมริกา ถือเป็นต้นกำเนิดของธนาคารเวลา โดยในช่วงทศวรรษ 1980 มีการริเริ่มใช้ “เหรียญเวลา” (time dollars) ในการแลกเปลี่ยนกัน เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต่อมาในปี 1987 มูลนิธิโรเบิร์ต วูด จอห์นสัน (Robert Wood Johnson Foundation) ได้สนับสนุนทุนจัดตั้งธนาคารเวลาเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ในลักษณะ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ในพื้นที่นำร่องแห่งแรกในนิวยอร์ก หลังจากนั้น ชุมชนหลายแห่งเริ่มจัดตั้งและดำเนินงานธนาคารเวลากันเอง
ปี 1995 เอดการ์ เอส. คาห์น (Edgar S. Cahn) ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ได้จดทะเบียนจัดตั้งธนาคารเวลาของสหรัฐอเมริกา หรือ Time Banks USA อย่างเป็นทางการขึ้นเป็นครั้งแรก วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำธนาคารเวลาไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนทั่วประเทศ ก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในเวลาต่อมา
บทบาทของธนาคารเวลาของสหรัฐอเมริกา คือการส่งเสริมองค์ความรู้ ให้คำปรึกษา จัดการฝึกอบรม การประชุม การวิจัยทางวิชาการ ตลอดจนการสนับสนุนเครื่องมือการดำเนินงาน เช่น คู่มือ หลักสูตร ซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในการจัดการข้อมูล (Community Weaver) เป็นต้น รวมทั้งมีการสนับสนุนความร่วมมือในลักษณะ “เครือข่ายธนาคารเวลา” เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบธนาคารเวลา
การบริหารจัดการของธนาคารเวลาของสหรัฐอเมริกา ค่อนข้างเป็นระบบ โดยมี เอดการ์ เอส. คาห์น ผู้ก่อตั้ง รับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร มีกรรมการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา เช่น สาธารณสุขของชุมชน นักมานุษยวิทยาที่มีความชำนาญด้านเครือข่ายทางสังคม เป็นต้น
กลุ่มคน/องค์กร ที่ธนาคารเวลาของสหรัฐ มีการทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด ค่อนข้างหลากหลาย และกระจายในหลายมลรัฐ เช่น เด็กนักเรียน วัยรุ่นในระบบยุติธรรม นักสังคมสงเคราะห์ ครอบครัวที่รับมือกับความผิดปกติทางอารมณ์ ผู้สูงอายุที่ต้องการพักอยู่ที่บ้าน ผู้ป่วยในบ้านพักคนชรา ศิลปินและนักดนตรี ไปจนถึงนักโทษและผู้ที่พ้นโทษแล้ว เป็นต้น จนถึงปัจจุบัน ธนาคารเวลาที่นำแนวคิดของเอดการ์ เอส. คาห์น ไปประยุกต์ใช้ มีจำนวนสมาชิกตั้งแต่ต่ำกว่า 20 คน ไปจนถึงมากกว่า 100 คน
ญี่ปุ่น – ธนาคารเวลา เพื่อสังคมสูงวัย
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก และเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสูงสุด ธนาคารเวลาถูกใช้เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายในการจัดบริการการดูแลผู้สูงอายุผ่านการแลกเปลี่ยนเวลา เป็นระบบการทำงานแบบแลกเปลี่ยนบริการ (Service Exchange System)
มีข้อมูลที่ระบุถึงการเกิดขึ้นของธนาคารเวลาในญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของธนาคารเวลาในโลกนี้ ว่าในปี 1973 กลุ่มแม่บ้านในโอซาก้าอยากสร้างสกุลเงินเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการภายในชุมชน โดยงานทุกอย่างมีค่าเท่าเทียมกัน และคิดตามระยะเวลาที่ทำ เพื่อที่คนด้อยโอกาสจะได้มีงานทำและอยู่รอดได้ รวมทั้งสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ได้โดยเท่าเทียมกัน
“ไทมุ บางขุ” (Taimu Banku) หรือ Time Bank จึงก่อกำเนิดขึ้น และได้รับการเผยแพร่แนวคิดสู่สาธารณะผ่านทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ พอถึงปี 1979 ธนาคารเวลาก็ขยายตัว จนมีสาขาอยู่ในทุกจังหวัดของประเทศ
ในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อจำนวนผู้สูงอายุในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารเวลาก็ยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก มีสมาชิกร่วมออมเวลากับธนาคารเวลาทั่วประเทศ และบางแห่ง เวลา สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ด้วย
ธนาคารเวลาของญี่ปุ่น มีหลักคิดว่า เมื่อสมาชิกให้บริการ 1 ชั่วโมง จะได้รับ 1 คะแนน เก็บไว้ในบัญชีธนาคารเวลาส่วนบุคคล และสามารถนำคะแนนนี้ไปใช้บริการได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ ธนาคารเวลาในญี่ปุ่น ไม่ได้ให้บริการเฉพาะการบริการผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้สูงอายุเข้าร่วมกิจกรรมผ่านการเป็นอาสาสมัครด้วย
ปัจจุบัน ธนาคารเวลาของญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนแก่สมาชิกในการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้สูงอายุหรือคนพิการ ในการดูแลสุขภาพ ดูแลส่วนบุคคลในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานบ้าน หรือช่วยซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นต่าง ๆ เป็นต้น สมาชิกจะได้รับเครดิตเวลา เพื่อการดูแลตนเองในภายหลัง และเครดิตเวลาสำหรับการดูแลสุขภาพเหล่านี้ รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางได้จัดทำระบบเครือข่ายข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ เพื่อให้สมาชิกสามารถให้และรับความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึงในโตเกียว ขณะเดียวกัน เครดิตเวลาของสมาชิกแต่ละคน พ่อแม่ของเจ้าของบัญชีสามารถถอนออกมาใช้งานได้ด้วยไม่ว่าจะพักอาศัยอยู่ส่วนใดของประเทศ
สหราชอาณาจักร: ส่งเสริมธนาคารเวลาเพื่อผู้ด้อยโอกาส
ธนาคารเวลาในประเทศสหราชอาณาจักร ใช้ชื่อว่า Timebanking UK มีสถานะเป็นองค์กรการกุศล จัดตั้งขึ้นในปี 2015 มีความคล้ายคลึงกับของสหรัฐอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นองค์กรสนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินการให้กับธนาคารเวลาแห่งอื่น ๆ ในระดับท้องถิ่น เพื่อมุ่งส่งเสริมการเข้าถึงกลุ่มที่ขาดโอกาส เช่น ผู้ลี้ภัย คนไร้ที่อยู่อาศัย คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ บทบาทคือการสนับสนุนด้านปฏิบัติการ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างการมีส่วนร่วม และสร้างเครือข่ายการสนับสนุนซึ่งกันและกันในชุมชน เพื่อให้ธนาคารเวลาย่อย ๆ มีความมั่นคง และสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ความน่าสนใจอยู่ที่รูปแบบการจัดการของธนาคารเวลาภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารเวลาในสหราชอาณาจักร ซึ่งมี 3 รูปแบบหลัก ได้แก่
- ธนาคารเวลา ที่จัดการตนเอง โดยชุมชนท้องถิ่นจัดกิจกรรมโดยใช้หลักการ “เวลามีค่าเท่ากัน” สมาชิกจะได้รับการบันทึกเครดิตเวลาจากการทำกิจกรรมให้กับเพื่อนสมาชิกคนอื่น ๆ เช่น การไปซื้อของใช้จำเป็นให้ผู้สูงอายุ หรือไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับสมาชิกที่ต้องทำงานประจำ เป็นต้น
- ธนาคารเวลา ที่อยู่ภายในองค์กร โดยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรม เช่น โรงพยาบาลต้องการให้บริการดูแลผู้ป่วยที่กลับไปพักฟื้นที่บ้าน
- ธนาคารเวลา ที่มีเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างองค์กรต่อองค์กร
เดนมาร์ก - แปลง “ภาษี” เป็น “เวลา”
ธนาคารเวลาในประเทศเดนมาร์ก หรือ Timebank DK เริ่มดำเนินการในปี 2004 ด้วยทุนประเดิม 3 เดือนแรกจากเทศบาลเมือง Aarhus ก่อนจะได้รับทุนสนับสนุนเพิ่มเติมจากสหภาพยุโรปในเวลาต่อมา เพื่อดำเนินโครงการนำร่องระยะ 2 ปี Aarhus เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ มีประชากรประมาณ 200,000 คน ธนาคารเวลาถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ใน 3 ชุมชน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ Gellerup, Hasle และ Herredsvang
ประเด็นน่าสนใจของธนาคารเวลาในเดนมาร์ก คือการที่ Ligningsraadet ซึ่งเป็นสภาที่มีอำนาจทางภาษีสูงสุดของประเทศ มีคำตัดสินว่า “โครงการธนาคารเวลาต้องเสียภาษี” หมายถึงสมาชิกต้องจ่ายภาษีจากการให้และรับบริการผ่านธนาคารเวลา คำตัดสินครั้งนี้กลายเป็นการกระตุ้นความสนใจของประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งนักการเมือง ที่พยายามหาทางแก้ปัญหาให้ธนาคารเวลาสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสียภาษีบริการ
ผลสุดท้าย เมื่อธนาคารเวลาในประเทศเดนมาร์ก เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา การจ่ายภาษีในการให้และรับบริการเป็นในรูปแบบของ “เวลา” ไม่ใช่เงิน
สวิตเซอร์แลนด์ – คิดแบบ “หมู่บ้าน” สู่การดูแลผู้สูงวัย “ในเมือง”
ธนาคารเวลาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับสังคมสูงวัยโดยเฉพาะ เนื่องจากในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ประชากรสูงอายุของสวิตเซอร์แลนด์จากที่เคยมีสัดส่วน 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ ล่าสุด เพิ่มเป็น 1 ใน 6 ขณะที่ระบบบำนาญและการดูแลผู้สูงอายุเติบโตไม่ทันกับสถานการณ์ด้านประชากร ซึ่งผู้สูงอายุบางส่วนต้องการการดูแลเป็นพิเศษ จึงเป็นที่มาของการนำวิธีคิดแบบ “ชุมชนหมู่บ้าน” ที่คนในชุมชนใส่ใจดูแลกันและกัน มาใช้ใน “ชุมชนเมือง”
ในปี 2008 ธนาคารเวลาแห่งแรก เริ่มต้นที่เมือง St.Gallen มีประชากร 72,522 คน สำนักงานประกันสังคมได้จัดโครงการนำร่อง ภายใต้แนวคิดผู้สูงอายุ “สุขภาพดี มีเวลา” เพื่อสนับสนุนผู้สูงอายุซึ่งพักอาศัยอยู่ที่บ้าน และต้องการการดูแลช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยซื้อข้าวของในชีวิตประจำวัน การทำความสะอาดบ้าน การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน หรือบริการช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน
ธนาคารเวลาในสวิตเซอร์แลนด์ มีระบบการบันทึกเวลาในการให้บริการ โดยทุก 1 ชั่วโมงการทำงาน จะถูกบันทึกเป็น “เครดิตเวลา” ในบัญชีธนาคารส่วนบุคคล เพื่อนำมาใช้ในการดูแลรักษาตัวเองในภายหลังการจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูล ดำเนินการโดยธนาคารเวลา ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานประกันสังคม
ธนาคารเวลาสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุแล้ว ยังเป็นการลดภาระด้านงบประมาณการให้บริการทางสังคมของภาครัฐ ช่วยลดภาระให้กับลูกหลานซึ่งเป็นคนวัยทำงาน ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างเสริมค่านิยมให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการแบ่งปัน สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชนท้องถิ่น คนหนุ่มสาวซึ่งมีเวลาว่างจากการทำงาน สามารถไปดูแลผู้สูงอายุ และสะสมเวลาในบัญชีส่วนบุคคล เพื่อไว้ใช้ในยามที่ตนเองสูงอายุ และทำการงานไม่ได้อีกด้วย
กรณีตัวอย่าง “คริสตินา” กับอาจารย์สูงวัย
คริสตินา ทำสัญญาที่จะดูแลอาจารย์สูงอายุ เป็นเวลา 1 ปี แต่ละวันเธอจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการช่วยเหลืองาน เช่น ทำความสะอาดบ้าน พาอาจารย์ไปเดินเล่น ซื้อของจากซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงพูดคุยและช่วยงานอื่น ๆ ที่ทำได้
เมื่อครบ 1 ปี เธอจะได้รับ “บัตรธนาคารเวลา” ที่มีสถิติเครดิตเวลาในรอบปีที่ผ่านมา โดยเธอสามารถโอนเครดิตเวลาให้สมาชิกในครอบครัวได้ด้วย ถ้าเกิดกรณีคนที่บ้านต้องการการดูแลช่วยเหลือ สามารถแจ้งมายังระบบการจัดการ และธนาคารเวลาจะประสานอาสาสมัครเข้าไปดูแลสมาชิกในครอบครัวของคริสตินา
และหากคริสตินาเสียชีวิตก่อนที่จะได้ใช้บัตรเครดิตเวลา ธนาคารเวลาจะแปลงจำนวนชั่วโมงเป็นเงินหรือผลตอบแทนอื่นให้กับทายาทของคริสตินาได้เช่นกัน
แคนาดา – บูรณาการเสริมความเข้มแข็งระบบสหกรณ์ชุมชน
ธนาคารเวลาในประเทศแคนาดาที่น่าสนใจ ได้แก่ ธนาคารเวลาในย่านเซนต์เจมส์ เมืองโทรอนโต รัฐออนแทรีโอ ซึ่งเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่น และหลากหลายที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ประชากรราว 30,000 คน มาจากกว่า 100 ประเทศ ใช้ภาษาที่แตกต่างกันราว 160 ภาษา ประชากรในย่านนี้มีทั้งกลุ่มที่มีการศึกษาสูง มากความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งกลุ่มผู้อพยพที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เกิดการแบ่งแยกทางสังคม ไม่มีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งขาดบริการทางสังคมในชุมชน
ธนาคารเวลาถูกจัดตั้งขึ้น โดยบูรณาการเข้ากับการดำเนินงานของสหกรณ์ชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งสร้างงาน สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง มีการริเริ่มโครงการที่เป็นประโยชน์ เช่น การสร้างสวนผักเรือนกระจกในชุมชน การจัดตั้งศูนย์อาหารเพื่อชุมชน เป็นต้น ทำให้สมาชิกชุมชนซึ่งมีทักษะหลากหลายสามารถสร้างงานในชุมชน โดยไม่ต้องออกไปหางานทำภายนอก
เมื่อนำธนาคารเวลาไปผนวกกับงานของสหกรณ์ชุมชน การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ แทนที่จะใช้เงินเหมือนที่ผ่านมา ก็เปลี่ยนเป็นการใช้ “เครดิตเวลา” โดยมีการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเป็นสื่อกลาง ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการดำเนินงานของสหกรณ์ชุมชนได้เป็นอย่างดี
ไอร์แลนด์ - “บัญชีชุมชน” รับบริจาคเครดิตเวลาเหลือใช้
ในประเทศไอร์แลนด์ คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่อยากทำประโยชน์ให้คนอื่นมากกว่า โดยเฉพาะในหมู่เพื่อนฝูง เครือญาติ และคนที่คุ้นเคยกัน ธนาคารเวลาของไอร์แลนด์ ก่อตั้งในปี 2561 ใช้ชื่อว่า hOUR Timebank-Ireland ต้องการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลเหล่านี้ขยายวงกว้างไปในชุมชนและสังคม จึงใช้วิธีให้คนที่อยากช่วยเหลือคนอื่นนำทักษะของตนเองมาช่วยเหลือคนอื่นก่อน แล้วบันทึกเป็นเครดิตเวลา เพื่อที่การแลกเปลี่ยนการทำประโยชน์ระหว่างกันจะเริ่มต้นขึ้นได้
การออมเวลาในระยะยาวทำให้มีจำนวนชั่วโมงสะสมในธนาคารเวลาเป็นจำนวนมาก ธนาคารเวลาไอร์แลนด์จึงเปิดให้สมาชิกที่ไม่ต้องการใช้เวลาที่สะสมไว้ บริจาคให้คนอื่น ๆ หรือจะโอนกลับไปที่ “บัญชีชุมชน” แล้วเจ้าหน้าที่ของธนาคารเวลาจะบริหารจัดการเพื่อให้การบริการช่วยเหลือส่งผ่านไปยังสมาชิกที่มีเครดิตเวลาสะสมไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ธนาคารเวลาไอร์แลนด์ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างการให้บริการภายใต้การแลกเปลี่ยนเวลาของสมาชิกแต่ละกรณี ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น จึงกำหนดให้ผู้ให้และผู้รับบริการ จะต้องตกลงร่วมกันให้ชัดเจน ว่าในแต่ละกรณีของการแลกเปลี่ยน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดตามมาภายหลัง
สเปน - กิจกรรมสร้างสรรค์ สานสัมพันธ์เพื่อนบ้าน
ธนาคารเวลาในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เริ่มต้นขึ้นในปี 2541 จนถึงปัจจุบัน เฉพาะที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ 9 แห่ง และที่จัดตั้งอย่างไม่เป็นทางการอีกเป็นจำนวนมาก ธนาคารเวลาแต่ละแห่งสื่อสารอัตลักษณ์พื้นถิ่นของตนเองผ่านการเสนอตัวให้บริการด้านต่าง ๆ ของสมาชิก ทั้งงานบริการทั่วไป ซึ่งมีการจัดระบบฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และบริการและกิจกรรมพิเศษ เช่น การให้ความรู้ การจัดกิจกรรมนอกสถานที่ การฝึกอบรมที่น่าสนใจ เช่น การตัดเย็บ การเย็บปักถักร้อย เป็นต้น
บทบาทสำคัญของธนาคารเวลาในบาร์เซโลนา คือการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน จากต่างคนต่างอยู่ ขาดความใส่ใจเพื่อนบ้าน ไม่สนใจสภาพแวดล้อม มาเป็นการรู้จักกันเพิ่มขึ้น มีเครือข่ายสนับสนุนกิจกรรมซึ่งกันและกัน สมาชิกคุ้นเคยกันจากการแลกเปลี่ยนบริการ หรือทำกิจกรรมร่วมกัน
กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ธนาคารเวลาในบาร์เซโลนา เติบโตอย่างก้าวกระโดด คือการสร้างกิจกรรมเป็นประโยชน์ และการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการเชื่อมเครือข่ายร้านเสื้อผ้ามือสอง ซึ่งก่อนหน้านี้ซบเซาลง เพราะคนในชุมชนมองว่าคนจนเท่านั้นที่ใช้สินค้ามือสอง ธนาคารเวลาจึงวางแผนสื่อสารเพื่อปรับมุมมองต่อเสื้อผ้าเก่าเหล่านี้ เพื่อให้คนเล็งเห็นถึงแง่มุมของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับกิจกรรมอื่น ๆ อย่างเกษตรอินทรีย์ กองทุนอาหารเพื่อสุขภาพ กิจกรรมเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
เซเนกัล – สร้างมูลค่าให้เวลา สร้างอาชีพให้ผู้หญิงในชุมชน
ความน่าสนใจของธนาคารเวลาในประเทศเซเนกัล คือการนำระบบแลกเปลี่ยนเวลาไปใช้ในศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้กับสตรีและเด็ก (GRADES – Groupe de Reflex- ion et d’Action pour le Developpement du se-negal) ซึ่งมีอยู่ก่อนหน้า โดย GRADES เป็นศูนย์ฝึกอาชีพสำหรับคนว่างงานในชุมชน มีสมาชิก 55 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และมีเด็กเล็ก 50 คนเข้ามาอยู่ในศูนย์รับเลี้ยงเด็ก
ปัญหาก็คือ สมาชิกส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ประจำ และไม่สามารถเข้ารับการฝึกอบรมได้เนื่องจากต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้งานของ GRADES ไม่สามารถขยายตัวได้ เมื่อเริ่มนำระบบธนาคารเวลามาใช้ในปี 2548 โดยสมาชิกสามารถแปลงเวลาและทักษะที่ตนเองมีเพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน เครดิตเวลาที่ได้มา สมาชิกสามารถนำไปแลกสิ่งของจำเป็นโดยไม่ต้องนำเงินไปซื้อหา
หลังจากนำแนวคิดธนาคารเวลามาเสริม GRADES เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านขนาดและขอบเขตการทำงาน โดยในปี 2553 สมาชิก 50,000 ราย ผ่านการฝึกอบรมด้านโภชนาการ ด้านสุขภาพและการติดเชื้อ HIV/AIDS มีนักเรียน 500 คน ได้รับการบริการจาก GRADES มีเด็กจบการศึกษา 900 คน ผู้เข้ารับการอบรม 52,000 คน ได้รับทักษะทางธุรกิจและการฝึกอบรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 1,250 คนจบการศึกษาจากหลักสูตรการตัดเย็บ และสามารถนำทักษะที่ได้ไปสร้างงานสร้างอาชีพ
อินเดีย – ฟื้นวัฒนธรรมเดิม เพิ่มระบบจัดการมีประสิทธิภาพ
สำหรับสังคมอินเดีย การช่วยเหลือกันของคนในชุมชนโดยไม่มีเงินทองมาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องใหม่ สมัยก่อน หากคนในชุมชนสร้างบ้านใหม่ หรือจัดงานแต่งงาน เพื่อนบ้านจะอาสามาช่วยกันตามกำลังและความรู้ความสามารถที่แต่ละคนมี แม่บ้านมาช่วยทำอาหาร ขนมหวาน ผู้ชายช่วยกันดูแลความพร้อมด้านต่าง ๆ ผู้สูงอายุช่วยจัดการเรื่องพิธีกรรม ไม่มีใครถามหาค่าจ้างค่าแรง หรือสิ่งตอบแทนอื่นใด
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมความช่วยเหลือกันเช่นนี้เริ่มจางหายไปจากวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย การพัฒนาจากชุมชนชนบท สู่ความเป็นเมือง รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนไป จากการอยู่อาศัยกันเป็น “ครอบครัวขยาย” สังคมอินเดียยุคใหม่ มีลักษณะเป็น “ครอบครัวเดี่ยว” เพิ่มขึ้น คนมีลูกกันน้อยลงด้วยการเข้าถึงการคุมกำเนิดที่แพร่หลาย เทคโนโลยีการแพทย์และระบบดูแลสุขภาพที่ก้าวหน้า ยังส่งผลให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับความเจ็บไข้ได้ป่วยตามวัย ในขณะที่ลูกหลานแยกย้ายไปทำงานในเมือง หรือต่างเมือง ไม่สามารถดูแลพ่อแม่และผู้สูงอายุในครอบครัวได้ใกล้ชิดเหมือนในอดีต
ธนาคารเวลา Kochi เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2560 เริ่มจากสมาชิกชุดแรกจำนวน 60 คน และขยายตัวต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กิจกรรมธนาคารเวลาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า วัฒนธรรมของขวัญ ซึ่งเป็นแนวคิดว่าด้วยการให้และการรับโดยไม่ต้องทำธุรกรรมทางการเงิน
ธนาคารเวลาสื่อสารแนวคิดกับคนรุ่นใหม่ง่าย ๆ ว่าเป็นการให้เวลาของตนเองกับคนที่เสนอขอเวลาเข้ามาในระบบข้อมูล โดยยกตัวอย่าง ผู้สูงอายุอยู่บ้านคนเดียว ต้องการคนพาไปโรงพยาบาล เมื่อคุณ A ช่วยได้และมีเวลาสะดวกตรงกัน คุณ A ก็เสนอตัวพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ตามนัด โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมง คุณ A ก็จะได้เครดิตเวลา 3 ชั่วโมงบันทึกในบัญชีที่เปิดไว้กับธนาคารเวลา เมื่อคุณเอต้องการบริการใดก็แจ้งเข้าระบบ ถ้าสมาชิกคนอื่น ๆ พร้อมช่วยเหลือก็จะเสนอตัวในลักษณะเดียวกัน
กัวเตมาลา - ธนาคารเวลา เสริมชุมชนเข้มแข็ง
ธนาคารในประเทศกัวเตมาลาเน้นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ให้บริการประชาชนที่เป็นสมาชิก และสร้างความสัมพันธ์ภายในชุมชน โดยมีการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ คือ กรอกข้อมูลส่วนตัว เข้าร่วมปฐมนิเทศ กรอกทักษะ หรือพรสวรรค์ของตนเอง ลงบันทึกข้อมูลทักษะและบริการของผู้อื่นที่ต้องการ สมาชิกจะมีการนัดหมายกันตามความเหมาะสม และบันทึกเวลาลงในบัญชีส่วนบุคคล
เกาหลีใต้ – เติมเต็มช่องว่าง บริการภาครัฐ
ธนาคารเวลาโซล จัดตั้งขึ้นในปี 2565 หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเทศบาลนครโซล มีแนวคิดที่ต้องการให้ชุมชนเมืองมีการดูแลช่วยเหลือในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในชุมชนที่หน่วยงานรัฐเข้าไม่ถึง หรือมีบางภารกิจที่ภาครัฐยากจะจัดบริการให้ได้
สังคมเกาหลีใต้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ครอบครัวส่วนใหญ่กลายเป็นครอบครัวเดี่ยว และมีไม่น้อยที่อาศัยอยู่ตามลำพัง เทศบาลนครโซลสำรวจปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่บริการ ร้อยละ 20 ระบุว่า มีหลายสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยได้ ความช่วยเหลือที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง เป็นสิ่งที่บริการภาครัฐยากจะจัดให้ได้ เช่น การจับคู่การเดินทาง หรือ “คาร์พูล” การพาสุนัขไปเดินออกกำลังกาย การสอนผู้สูงอายุให้ใช้สมาร์ทโฟน เป็นต้น
ธนาคารเวลาโซล เริ่มต้นนำร่อง 4 สาขา ใน 4 ชุมชน โดยเทศบาลนครโซลได้จัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ เปิดรับสมาชิกเป็นคนในชุมชนที่อายุ 14 ปีขึ้นไปเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือกัน กำหนดระยะเวลาไว้ 1 ปี จะทบทวนและปรับปรุงการดำเนินงาน ก่อนขยายผลธนาคารเวลาไปทั่วกรุงโซล
นวัตกรรมธนาคารเวลา (Timebank Innovation)
ธนาคารเวลาในหลายประเทศ มีการพัฒนานวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ
- สหรัฐอเมริกา มี “โครงการการขนส่งทางการแพทย์ของธนาคารเวลาเดนเคาน์ตี้” บริการรับส่งผู้ป่วยเข้ารับบริการฟอกไตในศูนย์ฟอกไต นอกจากนี้ มีการจัดทำ Seva Exchange เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยี Blockchain กระตุ้นให้เกิดอาสาสมัครทั่วโลก ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมการแลกเปลี่ยนเครดิตผ่านธนาคารเวลา
- นิวซีแลนด์ เกิดต้นแบบการบรรเทาสาธารณภัยด้วยธนาคารเวลาและเครือข่าย ได้แก่ หน่วยงานภายใต้เทศบาลเมือง ตำรวจดับเพลิง ประปา ไฟฟ้า ทหาร ฯลฯ ประสานความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- สหราชอาณาจักร พัฒนางานธนาคารเวลาเป็นเครื่องมือส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม หน่วยงาน องค์กร และสถานประกอบการในท้องถิ่น เพื่อให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วม สามารถเข้าถึง และใช้บริการหน่วยงานเพิ่มมากขึ้น ผ่านการดำเนินงานธนาคารเวลาของโครงการ “Spice”